การถือศีลอด คือ การละเว้นจากการรับประทานอาหาร ดื่มน้ำ รวมถึงยารักษาโรค โดยปกติแล้วผู้เป็นเบาหวานจะได้รับการยกเว้นการถือศีลอดได้เนื่องจากการถือศีลอดเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ภาวะร่างกายขาดน้ำ และภาวะเลือดเป็นกรด
ข้อควรปฏิบัติในช่วงถือศีลอด
อาหาร
- รับประทานอาหารให้มีปริมาณแคลอรีที่เหมาะสม (มื้อหลังอาทิตย์ตกและมื้อก่อนรุ่นเช้า)และอาจเพิ่มอาหารว่าง 1-2 มื้อหากจำเป็น
- ดื่มน้ำเปล่าให้มากในช่วงเวลาที่รับประทานอาหารได้ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและเครื่องดื่มรสหวาน รวมทั้งขนมหวาน
เป็นตัวอย่างในการจัดมื้ออาหารแต่ละมื้อ
- นมพร่องมันเนย 1 แก้ว
- ข้าวแป้ง 4 ทัพพี
- ผัก 1-2 ทัพพี
- ผลไม้ 1 ส่วน
- เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ 8 ช้อนโต๊ะ
- ถั่วเมล็ดแห้ง 1 ทัพพี
- น้ำมัน 2 ช้อนชา
- อินทผาลัม 1-2 ผล
เลือกกินอาหารที่มีไฟเบอร์มาก, มีน้ำตาลน้อย เจาะน้ำตาลในเลือก 1-2 ครั้งต่อวันหรือมากครั้งขึ้นไปในผู้ป่วยมีความเสี่ยงและตรวจเมื่อมีอาการ หากเกิดภาวะน้ำตาลสูงกว่า 300 หรือต่ำกว่า 70 จำเป็นต้องหยุดการอดอาหารแก้ไขภาวะนั้นก่อน
คำแนะนำทั่วไปสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่จะถือศีลอด
- ปรึกษาแพทย์
- ฝึกการถือศีลอดช่วงเดือนอุซะบานก่อน
- เปลี่ยนยาชนิดออกฤทธิ์นานเป็นยาชนิดฤทธิ์สั้นภายใต้คำแนะนำของแพทย์
- ยาเบาหวานมื้อเช้าและเที่ยงแนะนำให้เลื่อนเป็นมื้อหลังอาหารเย็นหลังเปิดบวช (If tar)
- ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันตามปกติ
ผู้เป็นเบาหวานที่ไม่ถือศีลอด ดังนี้
- ผู้ให้นมบุตร
- ผู้มีภาวะเลือดเป็นกรดสับสนจากระดับน้ำตาลสูงในเลือดภายใน 3 เดือนก่อนการถือศีล
- ผู้ที่มีมีประวัติน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย
- ผู้ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 หรือผู้ที่ใช้ยาฉีดอินซูลินเป็นประจำ
- ผู้ป่วยไตวาย ระยะที่ 3 ขึ้นไป
- ผู้ป่วยที่มีโรคร่วมในระบบหัวใจและหลอดเลือด
- เลือดออกทางเดินอาหาร แผลที่กระเพาะอาหาร
- โรคลมชักที่ยังไม่สงบ
- โรคไมเกรนที่กำเริบบ่อย
- มีประวัติน้ำตาลเปลี่ยนแปลงขึ้นลงมากๆ
- ผู้ที่ใช้แรงงานหนัก
- ผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคร่วมมาก
- ผู้ป่วยที่มีการใช้ยาที่มีผลต่อจิตประสาท