โรคติดสมาร์ทโฟน (NOMOPHOBIA)

คำนี้ย่อมาจากคำว่า No mobile phone phobia แปลตรงตัวว่า ความกลัวการไม่มีมือถือ บัญญัติขึ้นโดยหน่วยงานวิจัยแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ เมื่อ ค.ศ. 2010 (พ.ศ.2553) ซึ่งเทียบเคียงได้กับอาการของโรควิตกกังวลประเภท “หวาดกลัวเฉพาะอย่าง” (Specific phobia) ตามหลักเกณฑ์การวินิจฉัยโรคขององค์การอนามัยโลก

อาการของโรค

            ผู้ป่วยจะมีความวิตกกังวลอย่างมากจนเกิดอาการต่างๆต่อไปนี้

  • หงุดหงิด กระวนกระวาย หวาดหวั่นตกใจกลัว
  • ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว
  • หายใจถี่ หอบเหนื่อย
  • มือสั่น ตัวสั่น
  • เหงื่อออก
  • มึนงง อาจถึงขั้น สับสน โวยวาย
  • ควบคุมสตีไม่ได้

นอกจากนั้นยังมีความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไต้หลายอย่าง เช่น

  • ซึมเศร้า
  • ตื่นตระหนก
  • หวาดกลัว
  • รู้สึกเหงาอย่างมาก อ้างว้าง โดดเดี่ยวถูกทอดทิ้ง ต้องการให้มีใครสักคนมาอยู่ใกล้ๆ
  • ชาดความภาคภูมิใจในตนเอง รู้สึกตนเองไม่มีค่า

สาเหตุ

            เกิดจากสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ

1.บุคลิกภาพ

ลักษณะบางอย่างของการใช้มือถือสามารถบ่งบอกถึง อุปนิสัย หรือบุคลิกภาพของผู้นั้นได้ เช่น

  • การโพสต์เรื่องราวของตัวเองเป็นประจำทุกวัน วันละหลายๆครั้ง มีแนวโน้มว่าเป็นคนชอบแสดงออก เปิดเผย (Extrovert)
  • เรื่องราวที่มีความหมายในเชิงโอ้อวด เช่น แสดงฐานะร่ำรวย ความสำเร็จในหน้าที่การงาน อาจสะท้อนถึงความรู้สึกต่ำต้อย (inferior) ในจิตใต้สำนึก หรือ ขาดความภาคภูมิใจในตนเอง (Low self-esteem)
  • การก้มหน้าจ้องมองที่หน้าจอมือถือเป็นเวลานานๆ ในที่สาธารณะโดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อมและผู้คนรอบข้าง อาจบ่งบอกถึงความรู้สึกตื่นกลัวต่อคนแปลกหน้า กลัวสังคม ขาดความชื่อมั่นในตนอง หรือ การมีบุคลิกภาพ

2.โรคทางจิตเวชบางอย่าง

            จากการศึกษาเปรียบเทียบกลุ่มคนปกติกับกลุ่มที่เป็นโรคทางจิตเวชบางอย่างพบว่า คนที่เป็นโรคต่อไปนี้ จะมีอาการของโรคโนโมโฟเบียได้ง่ายกว่ากลุ่มคนปกติ

  • โรคแพนิค (Panic Disorder)
  • โรคกลัวสังคม (Social Phobia)
  • โรควิตกกังวลเวลาอยู่ในสังคม (Social Anxiety Disorder)

“โมโนโฟเบีย” เป็นอาการของโรคทางจิตเวชที่ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลอย่างมากเวลาที่ไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่กับตัว เช่น ลืมไว้ที่บ้าน จำไม่ได้ว่าลืมไว้ที่ไหน รวมถึงสถานการณ์อื่นๆ เช่น อยู่ในที่ซึ่งไม่มีคลื่นสัญญาณ แบตเตอรี่หมด ทำให้เกิดอาการหงุดหงิดกระวนกระวายอย่างมาก หวาดหวั่น ตกใจกลัวจนตัวสั่น เหงื่อออก
ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว จนไม่สามารถเรียน ทำงาน หรือทำกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ต่อไปได้

การวินิจฉัย

          คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีมือถือติดตัวตลอดเวลา โดยมีความแตกต่างของการใช้งาน 2 ประการคือ

  • วัตถุประสงค์ของการใช้ เช่น พูดคุยเรื่องส่วนตัว ติดต่อค้าขาย สั่งงาน ดูหนังฟังเพลง เล่นโซเชียลมีเดียต่างๆ
  • ความถี่ของการใช้

ดังนั้น การที่จะตัดสินว่า บุคคลใดมีความผิตปกติถึงขั้นเป็นโรคนี้หรือไม่ จึงต้องพิจารณาจากลักษณะของการใช้มือถือทั้งสองประการดังกล่าว ร่วมกับผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การเรียนการทำงานชีวิตทางสังคมหากมีผลกระทบย่อมหมายความว่าบุคคลผู้นั้นป่วยเป็นโรคนี้แล้ว และจำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษาต่อไป หากปล่อยทิ้งไว้ อาการอาจมากขึ้นจนไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้

ผลกระทบร่างกาย

  • นิ้วล็อค เกิดจากการใช้นิ้วมือติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ วันละหลายชั่วโมงอาจทำให้มีอาการปลายนิ้วชากำนิ้วมือแล้วเหยียดออกไม่ได้ปวดข้อมือเนื่องจากเอ็นอักเสบ
  • ปวดเมื่อย คอ บ่า ไหล่ เนื่องจากนั่งก้มหน้านานๆ อาจมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย
  • ระบบสายตา เริ่มจากอาการตาแห้ง เคืองตา ปวดกระบอกตา จอประสาทตาเสื่อมหรือหลุดลอก วุ้นในตาเสื่อม ซึ่งรักษายากหรืออาจจะรักษาไม่หาย
  • หมอนรองกระดูก  เสื่อมก่อนวัยเนื่องจากการนั่งผิดทำ ลำตัวไม่ตั้งตรง ก้มหน้าตลอดเวลาสุขภาพโดยรวมทรุดโทรม เช่นความตันโลหิตสูง เบาหวาน น้ำหนักตัวมากเกินปกติ เจ็บป่วยเป็นประจำ

การรักษา ใช้ 2 วิธีร่วมกัน คือ

  • ยา เพื่อลดอาการต่างๆในระหว่างที่พยายามลดการใช้มือถือลง ยาที่ใช้นั้นมี อยู่ 2 ประเภท คือยาคลายเครียดและยาคลายเศร้า ซึ่งยาทั้ง 2 ประเภทนี้จะช่วยลดอาการหงุดหงิด กระวนกระวายใต้อย่างมาก ซึ่งมีความจำเป็นในระยะแรกของการรักษาโดยแพทย์ (จิตแพทย์) จะอธิบายวิธีการใช้ยา ระยะเวลาของการรักษา  และรายละเอียดอื่นๆ
  • พฤติกรรมบำบัด โดยแพทย์จะ แนะนำวิธีปฏิบัติเพื่อช่วยลดความถี่ของการใช้มือถือลง ได้แก่ การกำหนดกิจกรรมทางเลือก งานอดิเรก วิธีปรับเปลี่ยนความคิดการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม เป็นต้น

การป้องกัน

          เริ่มจากการสร้างความตระหนักว่า วัตถุประสงค์หลักของใช้มือถือคืออะไรและตอบคำถาม ตัวเองว่า การใช้งานจริงในแต่ละวันเป็นอย่างไร มีสัดส่วนการใช้งานที่เหมาะสมหรือไม่ หากไม่จะแก้ไขในส่วนใดบ้าง กำหนดจำนวนครั้งและเวลาการใช้มือถือที่นอกเหนือจากการโทรศัพท์หากิจกรรมทางเลือกทำให้มากขึ้น เช่นออกกำลังกาย เล่นกีฬา อ่านหนังสือที่ชอบฝึกพูดภาษาต่างประเทศ ฯลฯ