5 ความแตกต่างระหว่างภูมิแพ้กับหวัด

เดือนนี้ถือได้ว่าบ้านเราเข้าสู่หน้าฝนอย่างเต็มตัวแล้วอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก เจ้าตัวน้อยของเราก็เลยพลอยไม่สบายไปด้วย  ในบรรดาโรคที่หมอเจอเยอะสุดในช่วงนี้ คือ “หวัด” ครับ มาทั้งไข้ น้ำมูกไหล ไอเจ็บคอ บางคนเป็นๆหายๆ บางคนเป็นมานานไม่หายสักทีเจอหน้าหมอแทบจะทุกอาทิตย์เลยก็ว่าได้ พอเป็นบ่อยๆ เป็นนานๆ คุณพ่อคุณแม่หลายๆท่าน ก็เริ่มสงสัยกันแล้วว่า “เอ๊ะหรือว่าลูกเราจะเป็นภูมิแพ้กันแน่” ใจเย็นๆกันก่อนนะครับหมอขอบอกว่า เด็กที่มีอาการของหวัดบ่อยๆหรือเป็นมานานไม่จำเป็นจะต้องเป็นภูมิแพ้เสมอไป โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆก็จะต้องระวังการติดเชื้อมากที่สุด

วันนี้หมอเลยนำ ” 5ความต่างระหว่างภูมิแพ้กับหวัด ” มาฝากคุณพ่อคุณแม่กันเพื่อเป็นข้อสังเกตเบื้องต้น ในการแยกเจ้า 2 โรคนี้ออกจากกันครับ

เด็กที่มีอาการของหวัดบ่อยๆหรือเป็นมานานไม่จำเป็นจะต้องเป็นภูมิแพ้เสมอไป โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆก็จะต้องระวังการติดเชื้อมากที่สุด

1.ภูมิแพ้มีเวลาของตัวเอง

ข้อสังเกตแรกคือปกติอาการของโรคภูมิแพ้ มักจะเป็นตอนช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งครับ เช่น เด็กที่เป็นภูมิแพ้อากาศมักจะคัดจมูก คันจมูก น้ำมูกไหล เวลาช่วงเย็นๆถึงหัวค่ำ บางคนเป็นตอนหลังหลับไปแล้ว อาการจะมาเป็นมากอีกทีช่วงเข้ามืดหรือหลังตื่นนอน  มักไม่ค่อยมีอาการตอนสายๆหรือบ่ายๆ ต่างจากหวัดที่มีอาการตลอดไม่ว่าจะเป็น เช้า สายบ่าย เย็น นอนไปแล้วอาการก็ยังมี

2.ภูมิแพ้มักไม่มาพร้อมไข้

อาการคัดจมูก คันจมูก น้ำมูกไหลจากภูมิแพ้ มักไม่มีไข้ร่วมด้วยเพราะไข้เป็นอาการที่เกิดจาก การอักเสบหรือการติดเชื้อในร่างกาย นอกจากนี้เด็กที่เป็นหวัดมักบ่นเจ็บคอหรือมีน้ำมูกสีเหลือง เขียว ขั้น ร่วมด้วย เวลาหมอให้อ้าปากดูที่คอหอย มักพบว่ามีคอแดงบางครั้งมีต่อมทอนซิลอักเสบหรือเป็นหนองด้วย แต่ถ้าเด็กที่เป็นภูมิแพ้อากาศเป็นหวัด มักจะมีอาการหนักกว่าคนปกติทั่วไป เพราะการติดเชื้อมักจะกระตุ้นให้อาการของภูมิแพ้หนักขึ้น

3.ภูมิแพ้ที่มีอาการอื่นมาเป็นเพื่อน

            ถ้าหวัดจะมีอาการไข้  เจ็บคอน้ำมูกเขียวเป็นเพื่อน ภูมิแพ้จะมีอาการน้ำมูกใส่ไหลเรื่อยๆ มีเลือดกำเดา นอนกรน คันตา เคืองตา มาเป็นเพื่อนได้เหมือนกันแต่ไม่ได้หมายความว่าอาการเหล่านี้จะเกิดจากภูมิแพ้ใต้อย่างเดียวนะครับมันเกิดจากสาเหตุอื่นได้ด้วย ทางที่ดีควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียดดีกว่าครับ

4.ภูมิแพ้ต้องมีตัวกระตุ้น

ตัวกระตุ้นที่คนไทยเราแพ้กันบ่อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ได้แก่ แมลงสาบไรฝุ่น ขนสุนัข ขนแมว เกสรพืช จะเห็นว่าตัวกระตุ้นส่วนใหญ่ เป็นตัวกระตุ้นที่อยู่ในบ้าน ไม่เหมือนเมืองนอกที่เขามักแพ้ตัวกระตุ้นนอกบ้าน เช่น เกสรหญ้าเกสรดอกไม้ต่างๆ ดังนั้นถ้าลูกเราเข้าไปในที่ที่มีฝุ่นมากๆ ห้องนอนรก มีที่เก็บฝุ่นเช่น ชั้นวางหนังสือ ตุ๊กตา ผ้าปูที่นอนปลอกหมอน ไม่ค่อยทำความสะอาดและต้มในน้ำร้อน แล้วมักมีอาการคล้ายหวัดบ่อยๆก็ต้องระวังว่าจะเป็นภูมิแพ้นะครับ

5.ภูมิแพ้มักมีประวัติครอบครัว

ถ้าเด็กคนไหนมีประวัติคนในครอบครัวเป็นภูมิแพ้ โดยเฉพาะพ่อแม่หรือพี่น้องท้องเดียวกันเป็นภูมิแพ้ด้วยแล้ว โอกาสที่จะเป็นภูมิแพ้ก็จะมากขึ้น

  1. พ่อ/แม่คนใดคนหนึ่ง ->

ความเสี่ยงประมาณ 50%

  • พ่อและแม่เป็นทั้งคู่ ->

ความเสี่ยงประมาณ 80%

  • พ่อและแม่ไม่เป็น ->
  • ความเสี่ยงประมาณ 10%

หากมีอาการ แนะนำให้พบแพทย์แต่เนิ่นๆ เพื่อการรักษาและวินิจฉัยที่ถูกต้อง