โรคหลอดเลือดสมอง ภัยสุขภาพใกล้ตัว

“ในทุกๆ 1 ชั่วโมงจะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดสมอง 3 คน”

เป็นสถิติที่น่าตกใจทีเดียวสำหรับอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองซึ่งนับวันจะยิ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โตยผู้ป่วยโรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตมากถึงร้อยละ 20 และหากรอดชีวิต ร้อยละ 30 ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้อื่นในการทำกิจวัตรประจำวันเนื่องจากเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ส่วนอีกร้อยละ 50 จะมีปัญหาด้านการพูดและการสื่อสารกับผู้อื่น

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่าโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่คุกคามต่อชีวิตและความเป็นอยู่ ดังนั้นคอลัมน์สุขภาพ (Health) ฉบับนี้นอกจากจะสร้างความตระหนักให้กับผู้อ่านถึงภัยสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อแล้ว ยังจะพามาศึกษาข้อมูลเพื่อหลีกเสี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคไปพร้อมกัน

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

          นพ.ไพบูลย์ คงเสรีภาพ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สาขาประสาทวิทยา ของ รพ.วิภาราม ได้อธิบายว่า
โรคหลอดเลือดสมอง คือ กลุ่มอาการของโรคที่มีความผิดปกติของหลอดเลือดสมองสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
            1.หลอดเลือดสมองตีบ เกิดจากการตีบ หรืออุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงเนื้อสมอง ส่งผลให้เนื้อเยื่อสมองส่วนที่ไม่ได้รับเลือดตาย

2.หลอดเลือดสมองแตก เกิดจากการแตกของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้เลือดที่ไหลออกมากไปกดทับเนื้อสมอง

ปัจจัยที่กำหนดให้เกิดโรค

          ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งประกอบไปด้วยปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันไม่ได้ และปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันได้ ดังนี้

  1. อายุ เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นหลอดเลือดก็จะเริ่มเสื่อมตามไปด้วย เกิดการสะสมของไขมันและหินปูนรอบๆหลอดเลือด ทำให้เลือดนั้นถูกส่งผ่านหลอดเลือดไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง
  2. กลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่โรคความดันโลหิต โรคไขมันในเลือดสูงโรคเบาหวาน
  3. บุหรี่ เป็นตัวทำลายผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแข็งตัว
  4. ขาดการออกกำลังกาย นอกจากนี้การเกิดการอุดตันของหลอดเลือดในสมอง มักสัมพันธ์กับโรคหัวใจบางชนิด เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ สิ้นหัวใจตีบหรือลิ้นหัวใจรั่วเกิดลิ่มเลือดในหัวใจ อิ่มเลือดหลุดจากหัวใจขึ้นไปอุดตันหลอดเลือดสมอง

อาการของโรค

          โรคหลอดเลือดสมองเป็นความผิดปกติของร่างกาย มีสาเหตุมาจากการขาดเลือดไปเลี้ยงสมองอย่างทันทีทันใด ทำให้ผู้ป่วยแสดงอาการแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงและตำแหน่งของสมองที่ถูกทำลาย ได้แก่หน้าเบี้ยวปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดอ้อแอ้ ลิ้นแข็ง ชาร่างกายครึ่งซีก เวียนศีรษะมากทรงตัวไม่อยู่

            นอกจากนี้ นพไพบูลย์ คงเสริภาพ ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นชั่วขณะแล้วหายไปเองหรืออาจเกิดขึ้นได้หลายครั้งก่อนจะมีอาการสมองขาดเลือดแบบถาวร ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบพบแพทย์ทันที ไม่จำเป็นต้องรอดูอาการ เพราะอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หรือ อาจกลายเป็นโรคอัมพาตอัมพฤกษ์ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองและต้องใช้เวลาในการรักษาฟื้นฟูสุขภาพเป็นเวลานาน

การรักษา

          แพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาตามสาเหตุของโรคนั้นๆ ว่าเป็นลักษณะของโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือหลอดเลือดสมองแตก ซึ่งจะมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันดังนี้

            1.หลอดเลือดสมองตีบ

  • ให้ยาสลายลิ่มเลือด (ต้องเดินทางมาถึงโรงพยาบาลภายใน 3 ชั่วโมง นับจากเริ่มมีอาการผิดปกติ)
  •  ให้น้ำเกลือ
  • ให้ยา
  • สังเกตอาการทางระบบประสาท

2.หลอดเลือดสมองแตก

  • ผ่าตัด

ทั้งนี้หลังการรักษาแพทย์อาจพิจารณาให้เข้ารับการกายภาพบำบัดเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อรวมถึงตัวผู้ป่วยก็ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างใกล้ชิด ควบคุมระดับน้ำตาล ความดันโลหิต รวมทั้งยังควรงดสูบบุหรี่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำอีก